บทความ

เห็ดมิลกี้ หรือ เห็ดน้ำนม

รูปภาพ
เห็ดมิลกี้ หรือ เห็ดน้ำนม เห็ดมิลกี้             เป็นเห็ดป่าที่มีต้นกำเนิดอยู่ตามเบงกอลตะวันตก  ทุกวันนี้สามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทย  เห็ดมิลกี้เป็น เห็ดตีนแรดสายพันธุ์หนึ่งที่นำเข้ามาจากประเทศอินเดีย  แล้วนำมาพัฒนาสายพันธุ์ให้ปลูกได้ในประเทศไทยซึ่ง  เห็ดมิลกี้จะมีอัตราการเกิดดอกได้ง่ายกว่าเห็ดตีนแรดในอดีต  จุดเด่นของเห็ดชนิดนี้คือ มีสีขาว เนื้อแน่น สวยสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าเห็ดนางฟ้าแต่ความอร่อยไม่แพ้เห็ดออรินจิ จากการวิจัยหลายแห่งนักวิชาการได้สรุป  คุณค่าทางสารอาหาร ของเห็ดมิลกี้ไว้ดังนี้   1 . เ ห็ดมิลกี้เป็น  1 ใน  3  เห็ดที่มีโปรตีนมากที่สุดในโลก   ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับใช้เป็นอาหารมังสวิรัติแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์    2. มีสารเบต้ากลูแคน ซึ่งเป็นสารช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ต้านการกลายพันธุ์ของพันธุกรรม ช่วยต้านเชื้อมะเร็งและช่วยต้านการเกิดเนื้องอก   3. เห็ดมิลกี้ มีสารต้านอนุมูนอิสระ  เป็นสารที่ช่วยชะลอ ความแก่ ลดรอยเหี่ยวย่นและบำรุงผิว  ...

ราชดัด

ราชดัด ชื่อวิทยาศาสตร์ Brucea javanica  (L.) Merr. ชื่อวงศ์ SIMAROUBACEAE ลักษณะ ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงถึง 10 ม. ใบ ประกอบแบบขนนก ใบย่อย 3-15 ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่ ถึงรูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 1.5-5.0 ซม. ยาว 3.5-11 ซม. ดอก แยกเพศ ออกเป็นช่อ ยาว 7-60 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบดอก 4 กลีบ กว้าง 0.5-1.0 มม. ยาว 1-2 มม.สีเขียวอ่อน ถึงเขียวแกมแดงหรือม่วง เกสรเพศผู้มี 4 อัน ผล แบบเมล็ดเดียวแข็ง ยาว 4-7 มม. ประโยชน์ เปลือกและใบ ต้มดื่มถอนพิษสุรา ผล แห้ง แก้ไข้ แก้บิด จากการศึกษาพบว่า bruceines A,B,C มีฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรียในหลอดทดลอง มีความเป็นพิษสูง

มะเกลือ

มะเกลือ ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros mollis  Griff. ชื่อวงศ์ EBENACEAE ลักษณะ ไม้ต้นขนาดกลาง สูง 8-15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม กิ่งอ่อนมีขนนุ่มทั่วไป เปลือกนอกสีดำ แตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ตามยาว ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่หรือแกมขอบขนาน กว้าง 1.5-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. โคนใบมนหรือกลม ส่วนปลายใบสอบ ใบแก่เกลี้ยง ก้านใบยาว 5-10 มม. เมื่อแห้งเป็นสีดำ ดอกต่างเพศอยู่ต่างต้น ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อสั้นๆ ตามง่ามใบ ช่อหนึ่งๆ มีประมาณ 3 ดอก ดอกย่อย กลีบรองดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 4 แฉก กลีบดอกยาว 6-8 ซม. โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปเหยือกน้ำ ปลายแยกเป็น 4 แฉก เกสรผู้ 14-24 อัน ดอกเพศเมีย ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ก้านดอกยาว 1-3 มม. มีขนนุ่มปกคลุม เกสรผู้เทียม 8-10 อัน ผลกลม เกลี้ยง ขนาดผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. มีกลีบรองดอกติดอยู่ที่ขั้วผล 4 กลีบ ผลแก่จัดสีดำ เมื่อแห้งเปลือกเปราะ ประโยชน์ เนื้อไม้เป็นมัน สีเข้ม มีน้ำหนักมากที่สุดของไทย นิยมใช้ทำไม้ถือกบไสไม้ และเครื่องตกแต่งบ้าน เปลือกใช้ผสมเครื่องดื่มพื้นเมืองเพื่อกันบูด ผลใช้ย้อมผ้าและเครื่องมือประมงและใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ

แต้ว

แต้ว ชื่อวิทยาศาสตร์ Cratoxylum cochinchinense  (Lour.) Bl. ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) ลักษณะ ไ ม้ต้น สูงได้ถึง 25 เมตร ใบ เดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรี รูปขอบขนานหรือรูปขนานแกมใบหอก กว้าง 2-3 ซม. ยาว 3-9 ซม. ดอก เดี่ยว หรือออกเป็นกระจุก2ดอก ตามซอกใบหรือปลายกิ่งมีกลิ่นหอม ขนาด1ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กว้าง 4-5 ซม. ยาว 6-7 มม. กลีบดอก 5 กลีบ แยกจากกัน สีส้มหรือสีส้มแดง รูปไข่กลับ กว้าง 3-5 มม. ยาว 8-10 มม. ผิวเกลี้ยง เกสรเพศผู้จำนวนมาก เชื่อมติดกันเป็น3มัด รังไข่เกลี้ยง ผล แห้งแตก กว้าง 8 มม. ยาว 1 ซม. เมล็ดมีปีก รูปไข่กลับ กว้าง 2.5-3 มม. ยาว 6-7 มม. ปีกแบนและบาง ประโยชน์ ยอดอ่อน รับประทานกับน้ำพริก

กระทิง

กระทิง ชื่อวิทยาศาสตร์  Calophyllum inophyllum  L. ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE (GUTTIFERAE) ลักษณะ ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง ๑๕ - ๓๐ เมตร ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปรีหรือแกมรูปไข่กลับ ยาว ๘ - ๑๕ เซนติเมตร ปลายใบกลมหรือเว้าตื้น โคนใบรูปลิ่มกว้างหรือกลม แผ่นใบค่อนข้างหนา เกลี้ยง เป็นมันวาวทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบจำนวนมาก ดอกสีขาว ออกเป็นกระจุกแยกแขนงสั้นๆ ตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง เกสรเพศผู้ สีเหลือง จำนวนมาก ผลสดมีเมล็ดเดียว ทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร ผลสุกสีเหลือง เมล็ดขนาดใหญ่ การกระจายพันธุ์ พบตั้งแต่ประเทศแอฟริกา อินเดีย ศรีลังกา พม่า จีนตอนใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น กัมพูชา เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซีย หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค จนถึงออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบขึ้นตามชายหาด ที่โล่งชายป่าใกล้ชายฝั่งทะเล ระดับความสูงไม่เกิน ๒๐๐ เมตร ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องเรือน และกระดูกงูเรือ น้ำมันใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และใช้ผสมทำเป็นน้ำมันไบโอดีเซลจากเมล็ด

ชะเอมไทย

ชะเอมไทย ชื่อวิ ทยาศาสตร์ Myriopteron extensum  Schum. ชื่อวงศ์ PERIPLOCACEA E ลักษณะ ไม้เถาขนาดกลาง มีน้ำยางขาว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีหรือค่อนข้างกลม กว้าง 5-6.5 ซม. ยาว 8-9 ซม. ก้านใบเรียว ยาว 1.5-4 ซม. ดอก ออกเป็นช่อหลวมๆตามซอกใบ ยาว 7-18 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบรองดอกเล็กมาก กลีบดอกรูปหอก ขนาด 0.8 ซม. ผล รูปกระสวย ลักษณะเป็นพูทรงกลม ปลายแหลมมน เปลือกนอกบาง ออกเป็นคู่ เมื่อแก่จะแห้งแตกตามรอยตะเข็บเพียงด้านเดียว กว้าง 2 ซม. ยาว 7.5 ซม เมล็ด รูปรียาว 0.8 ซม. ประโยชน์ เถามีรสหวาน คนพื้นบ้านนิยมตัดเป็นท่อนๆให้เด็กเคี้ยวเพื่อให้ชุ่มคอ และแก้เจ็บคอ

ช้างน้าว

ช้างน้าว ชื่อวิทยาศาสตร์ Ochna integerrima  (Lour.) Merr. ชื่อวงศ์  OCHNACEAE ลักษณะ ไม้พุ่มถึงไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 1-8 ม. ลำต้นคดงอ มีกิ่งก้านต่ำ ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ หรือรูปใบกอก กว้าง 4-7 ซม ยาว 8-20 ซม. ขอบใบหยักคล้ายซี่เลื่อย เนื้อใบเนียนเกลี้ยง เส้นใบละเอียด ดอก สีเหลืองขนาดผ่าศูนย์กลาง 3-4 ซม. ออกเป็นช่อกระจุกสั้นๆ ตามปลายกิ่งและง่ามใบใกล้ยอด กลีบรองดอก 5 กลีบ จะคงอยู่และเปลี่ยนเป็นกลีบผลสีแดงคล้ำ กลีบดอก 5-10 กลีบ หลุดร่วงง่าย เกสรผู้จำนวนมาก ผล ค่อนข้างกลม ขนาดประมาณ 1 ซม. สีเขียว เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีดำผิวมัน ประโยชน์ สามารถนำมาพัฒนาเป็นไม้ประดับได้ ราก เป็นยาขับพยาธิและฟอกน้ำเหลือง